วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Physical Layer(1) [Con't]


Decimal and Binary
  1. Binary System
    - การแปลงเลขฐาน 2 เป็น ฐาน 10 > นำเลขฐาน 2 ที่มี มาคูณตั้งแต่ 2ยกกำลัง0 ถึง 2ยกกำลัง7 ตามลำดับ โดยเริ่มทำจากตัวเลขที่อยู่หลังสุดก่อน แล้วจึงนำมาบวกกัน
    - การแปลงเลขฐาน 10 เป็น ฐาน 2 > นำเลขฐาน 10 ที่มี มาหาร 2 แล้วเศษที่ได้ก็คือ เลขฐาน 2 โดยหารไปจนกระทั่งเหลือ 0 เศษที่ได้จากการหารครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวแรกสุดของเลขฐาน 2 แล้วไล่ไปจนถึงเศษที่ได้จากการหารครั้งแรก ตามลำดับ
  2. Hexadecimal Notation
    - การแปลงเลขฐาน 2 เป็น ฐาน 16 > นำเลขฐาน 2 ที่มี มาแบ่งเป็นชุด ชุดหนึ่งมี 4 ตัว แล้วนำมาคูณตั้งแต่ 2ยกกำลัง0 ถึง 2ยกกำลัง3 ตามลำดับ โดยเริ่มทำจากตัวเลขที่อยู่หลังสุดก่อน แล้วจึงนำมาบวกกัน ก็จะได้เลขฐาน 16 หนึ่งตัว
    - การแปลงเลขฐาน 16 เป็น ฐาน 2 > นำเลขฐาน 16 ที่มี มาหาร 2 แล้วเศษที่ได้ก็คือ เลขฐาน 2 โดยหารไปจนกระทั่งเหลือ 0 เศษที่ได้จากการหารครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวแรกสุดของเลขฐาน 2 แล้วไล่ไปจนถึงเศษที่ได้จากการหารครั้งแรก ตามลำดับ เลขฐาน 16 หนึ่งตัวจะได้เลขฐาน 2 สี่ตัว(4 bits)
  3. Octal Notation
    - การแปลงเลขฐาน 2 เป็น ฐาน 8 > นำเลขฐาน 2 ที่มี มาแบ่งเป็นชุด ชุดหนึ่งมี 3 ตัว แล้วนำมาคูณตั้งแต่ 2ยกกำลัง0 ถึง 2ยกกำลัง2 ตามลำดับ โดยเริ่มทำจากตัวเลขที่อยู่หลังสุดก่อน แล้วจึงนำมาบวกกัน ก็จะได้เลขฐาน 8 หนึ่งตัว
    - การแปลงเลขฐาน 8 เป็น ฐาน 2 > นำเลขฐาน 8 ที่มี มาหาร 2 แล้วเศษที่ได้ก็คือ เลขฐาน 2 โดยหารไปจนกระทั่งเหลือ 0 เศษที่ได้จากการหารครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวแรกสุดของเลขฐาน 2 แล้วไล่ไปจนถึงเศษที่ได้จากการหารครั้งแรก ตามลำดับ เลขฐาน 8 หนึ่งตัวจะได้เลขฐาน 2 สามตัว(3 bits)

Data and Signals

Data:

  • Data > ข้อมูล สามารถเป็นแบบ anlog หรือ digital ก็ได้ ซึ่งการส่งข้อมูลเป็นการส่งแบบสัญญาณไฟฟ้า
  • Analog data > ข้อมูลที่มีค่าต่อเนื่องกัน
  • Digital data > ข้อมูลที่ค่าไม่ต่อเนื่องกัน

Signals:

  • Signals > สัญญาณ สามารถเป็น anlog หรือ digital ก็ได้
  • Analog signals > สามารถมีค่าตัวแปรได้ไม่จำกัดภายในขอบเขต
  • Digital signals > มีค่าตัวแปรที่จำกัด

ใน data communication จะใช้สัญญาณ analog แบบคงที่ และ ใช้สัญญาณ digital แบบไม่คงที่