HDLC
เป็น Protocols ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถสื่อสารได้ทั้งแบบHalf duplex แล Full duplex บนพื้นฐานของการเชื่อโยงแบบ Point-to-point และMultipoint หรือ Multidropมีวิธีการสื่อสาร 2 วิธี คือ NRMและ ABM
NRM (Normal response mode)
เป็นวิธีการสื่อสารที่ต้องมีPrimary station 1 สถานี ส่วน Secondary stationสามารถมีได้หลายสถานี
- Primary station มีหน้าที่ในการส่ง Command ไปยังSecondary
- Secondary จะทำหน้าที่ในการ Respond ต่อคำสั่งนั้น ๆ
NRM สามารถใช้ได้กับการเชื่อมโยงแบบ Point-to-point และMultipoint หรือ Multidrop
ARM (Asynchronous balanced mode)
จะใช้กับการเชื่อโยงอุปกรณ์แบบPoint-to-point โดยทุกสถานีจะทำหน้าที่เป็น Primary Station และ Secondary Stationในเวลาเดียวกัน
HDLC frame format ประกอบไปด้วย 6 ฟิลด์
Flagเริ่มต้น จะมีทั้งหมด 8 บิต โดยจะมีรูปแบบเป็น01111110 ซึ่งบิตเหล่านี้จะหมายถึงการเริ่มต้นและสิ้นสุดของเฟรมแต่ละเฟรม
Adress ใช้ในการเก็บAdressของSecondary Station ขนาดจะขึ้นอยู่กับจำนวนจอง Secondary Station ภายในเครือข่าย
Control จะมีขนาด 1 หรือ 2 bytes ใช้สำหรับควบคุมอัตราการไหลและความผิดพลาดของการส่งข้อมูล
Information ใช้ในการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ที่ส่งมาจากNetwork Layer หรือเก็บข้อมูลสำหรับการจัดการระบบ ขนาดของฟิลด์นี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของเครือข่ายว่าเป็นเครือข่ายแบบไหน
FCS ใช้เก็บกลุ่มของบิตสำหรับตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล ซึ่งจะมีขนาด 2 หรือ 4 bytes ส่วนวิธีการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูลนั้นจะใช้วิธีของ ITU-T CRC
HDLC frame types
ในการออกแบบเฟรมข้อมูลของHDLC นั้นจะต้องให้ยืดยุ่นกับวิธีการสื่อสารทั้งแบบ NSM และABM ดังนั้นจึงได้มีการกำหนดเฟรมขอ้มูลไว้ 3 ชนิด ซึ่งมีหน้าที่ต่างกันไป
- I-frame (information frame) ใช้รับข้อมูลมาจากNetwork Layer สามารถเพิ่มบิตสำหรับควบคุมอัตราการไหลของข้อมูลและตรวจสอบความผิดพลาดของการส่งข้อมูลได้ด้วย กลุ่มของบิตที่อยู่ในฟิลด์ควบคุมของ I-frame จะมีความหมายดังนี้
- บิตแรกใน Control มีค่าเป็น "0" จะหมายความว่าเฟรมนี้เป็น I-frame
- 3 บิตถัดมาจะเรียกว่า N(S)จะเก็บหมายเลขลำดับของแต่ละเฟรม
- 3บิตสุดท้าย N(R) ใช้กลุ่มบิตนี้เมื่อเป็น Piggybacking - S-frame (supervisory frame) ควบคุมอัตราการไหลของข้อมูลและการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล จะมีการใช้ S-frame เมื่อไม่มีการทำ Piggybacking ดังนั้นS-frame จึงเป็นเพียงAcknowledgementเท่านั้น
- 2 บิตแรก มีค่าเป็น "10"
- 2 บิตถัดมาบอกถึงประเภทของ S frame มี 4 ประเภท - U-frame (unnumbered frame) ใช้สำหรับการบริหาร โดยฟิลด์ที่ใช้เก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารระบบเท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลของผู้ใช้U-frame เก็บ Code ของการควบคุมเอาไว้ 2 ส่วน คือ 2บิต หน้า บิต P/F และอีก 3 บิตหลังบิต P/F ดังนั้นจึงมีรหัสที่ใช้สำหรับควบคุมระบบได้ถึง 5บิต (32 รหัส)
PPP (Point-to-Point Protocol)
PPP เป็น Protocol ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้งานอินเทอร์เน็ตตามบ้าน ที่ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)ส่วนใหญ่จะเลิกใช้ Protocol นี้เป็นหลัก เช่น การติดต่อโดยใช้Modem ธรรมดา DSL Modem หรือ เคเบิลโมเด็ม
LCP (Link Control Protocol)
LCP ทำหน้าที่สร้างการติดต่อระหว่างอุปกรณ์ การคงสภาพของการเชื่อต่อ และการยกเลิกการติดต่อ ภายใน LCP Packetประกอบด้วย
- Code บอกถึงชนิดของ LCP Packet
- ID คือ หมายเลขที่ใช้สำหรับการร้องขอและการตอบรับกลับ
- Length บอกถึงขนาดของLCP Packet
- Information บรรจุข้อมูลพิเศษเข้าไปใน Packet
PAP (Password Authentication Protocol) PAP Packet แบ่งออกเป็น 3ชนิดได้แก่
- Authenticate-requestส่งชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน
- Authenticate-ack การยอมรับชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านบอกว่าสามารถให้เข้าใช้ระบบได้
- Authenticate-nak การปฏิเสธการเข้าใช้ระบบ
CHAP (Challenge Handshake Authentication Protocol)
CHAP จะเก็บรหัสผ่านเอาไว้ และไม่ส่งออกไปตามสายส่ง มีการทำงานดังนี้
- ส่ง Challenge Packetประกอบไปด้วยค่าตัวเลขไม่มีbyte
- ผู้ใช้จะใช้ฟังค์ชันในการคำนวณโดยการนำค่าตัวเลขที่ได้รับมารวมกับรหัสผ่านที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ แล้วส่งผลที่ได้กลับไปให้กับระบบ โดยใช้Response Packet
- เมื่อระบบได้รับ Response Packet แล้ว ใช้ฟังค์ชันคำนวณค่าตัวเลขที่ได้ส่งออกไปกับรหัสผ่านของผู้ใช้ (ซึ่งถูกเก็บอยู่ในระบบด้วย) แล้วนำมาเปรียบเทียบกับ Response Packet ถ้าเท่ากันก็เข้าระบบได้ ถ้าไม่เท่ากันก็ปฏิเสธการเข้าระบบ
CHAP Packet จะอยู่ในเฟรมข้อมูลของ PPP แบ่งออกเป็น 4ชนิด
- Challenge ส่งค่าตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณให้กับผู้ใช้
- Response ผู้ใช้ส่งผลการคำนวณมาให้กับระบบ
- Success ระบบส่งไปบอกผู้ใช้ให้เข้าใช้งานระบบได้
- Failure ระบบส่งไปบอกผู้ใช้ว่าไม่ใช้เข้าใช้งาน
IPCP (Internetwork Protocol Control Protocol)
IPCP เป็น Protocol ที่ทำงานร่วมกับ Network Layer โดยนำข้อมูลจาก Network Layerมาใช่ในเฟรมข้อมู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น